เริ่มตั้งแต่ช่วงการออกแบบที่พักอาศัยหรืออาคาร ผู้ออกแบบงานระบบน้ำต้องสามารถเลือกปั๊มน้ำที่มีความเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ควรเลือกปั๊มที่ตัวเล็กหรือใหญ่เกินไป เช่น ในบ้านหนึ่งหลัง เป็นที่พักอาศัยของคน 4-5 คน เราควรเลือกปั๊มน้ำที่สามารถให้น้ำเพียงพอสำหรับคน 4 -5 คน เราจะไม่เลือกปั๊มน้ำที่สำรองการใช้งานสำหรับ 10 คน เพราะมันใหญ่ไป และเราจะไม่เลือกปั๊มน้ำที่เล็กสำหรับการใช้งานแค่ 2 คน เพราะมันเล็กไป การเลือกปั๊มน้ำแบบนี้ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะปั๊มน้ำไม่ได้ใหญ่เกินความจำเป็น ช่วงการทำงานของปั๊มน้ำ เรียกว่า curve pump จะมีจุดทำงานของปั๊มน้ำที่เป็นจุดต่ำที่สุด, มีจุดที่เป็นจุดกลาง และมีจุดที่เป็นจุดสูงสุด เวลาเลือกปั๊มน้ำ ควรเลือกจุดที่เป็นจุดกลาง ซึ่งจะเป็นช่วงที่ปั๊มน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Efficiency) แต่ถ้าเราเลือกปั๊มน้ำที่อยู่ในช่วงสูงที่สุด มอเตอร์จะมีโอกาสเสียหายเร็วมากเพราะช่วงทำงานหนัก และหากเราเลือกปั๊มน้ำที่อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด มอเตอร์จะทำงานเพียงสั้นๆสลับกับการหยุดทำงานเป็นพักๆ จะโอกาสส่งผลให้มอเตอร์อายุการทำงานสั้นและเสียหายเร็วได้เช่นกัน
ลักษณะของน้ำ ต้องมีความเหมาะสมกับลักษณะของปั๊มน้ำ น้ำสะอาดหรือไม่ มีตะกอนตะกรันหรือไม่ เป็นน้ำประปา หรือเป็นน้ำมีเคมีหรือไม่ เมื่อทราบลักษณะของน้ำแล้ว จะสามารถระบุวัสดุของปั๊มที่เหมาะสมได้
พื้นที่ติดตั้ง ต้องมีการเลือกที่เหมาะสม ขนาดของพื้นที่สามารถติดตั้งได้หรือไม่ เช่น ถ้ามีพื้นที่มาก เราสามารถเลือกปั๊มน้ำแนวนอนได้ ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าปั๊มแนวตั้ง ที่เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่แคบกว่า
เลือกมอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง จะส่งผลต่อเรื่องการประหยัดพลังงาน มีการแบ่งประเภทของมอเตอร์ดังนี้
IE1 (Standard Efficiency), IE2 (High Efficiency), IE3 (Premium Efficiency) และ IE4 (Super Premium Efficiency) ยิ่งตัวเลข IE (Efficiency) สูง จะยิ่งประหยัดพลังงาน และมีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย ปัจจุบันที่เป็นที่นิยมในบ้านเราคือ IE2 และ IE3 ในขณะที่เมืองนอกจะเป็น IE3 และอาจจะไปถึง IE4

อ้างอิง https://www.kps-machine.com/water-pump